5 ways to reduce the stress of the office workers

5 วิธีลดความเครียดสำหรับคนทำงานออฟฟิศ

5 วิธีลดความเครียดสำหรับคนทำงานออฟฟิศ ในยุคของการแข่งขันในปัจจุบัน สิ่งที่สร้างแรงกดดันและความเครียดได้ต่อเนื่องมากที่สุด คือ การแข่งขันกับเวลาในการใช้ชีวิตประจำวัน  ไม่รวมการแข่งขันเพื่อการเจริญเติบโตในหน้าที่การงานและความก้าวหน้าอื่นๆ อีกนะคะ

อาชีพที่สามารถสะสมความเครียดมากที่สุด คือ อาชีพที่ต้องทำงานประจำเป็นเวลา โดยเฉพาะหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ ที่ต้องตื่นแต่เช้าออกจากบ้านเจอปัญหารถติดและกลับมาถึงบ้านอีกครั้งก็แทบจะค่ำมืด ชีวิตในแต่ละวันแทบจะหมดแรงไปกับการเดินทางบนท้องถนน ซึ่งหลายๆ คนหรือแม้แต่เราเองก็คิดว่า ไม่เป็นไร เพราะชินแล้วกับปัญหาที่ทำงาน หรือแม้แต่ปัญหารถติด แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าลึกๆ แล้วเราสะสมความเครียดกันไว้ทุกคน

ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ การสะสมความเครียดให้กับสภาพร่างกายและจิตใจแน่นอน โดยความเครียดที่เกิดขึ้นนั้น เกิดได้ใน 2 ลักษณะ คือ ความเครียดทางร่างกายและความเครียดทางจิตใจ ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันและมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ความเครียดคืออะไร

ความเครียด เป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจได้ในเวลาเดียวกัน  เป็นภาวะของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ทำให้ผู้ที่มีภาวะเครียด รู้สึกไม่สบายใจ ไม่สุขสบายทางกาย กลัว วิตกกังวลหรือ ถูกบีบคั้นด้วยสถานการณ์ไม่พึงพอใจและไม่ต้องการ

และเมื่อเกิดความเครียด ไม่ว่าจะทางร่างกายและจิตใจ กลไกตอบสนองความเครียดจะเกิดขึ้นอย่างสัมพันธ์กัน แยกกันไม่ได้  เช่น เมื่อเราเครียดทางจิตใจจากความผิดหวัง ความตื่นเต้น ความกลัวหรือการถูกบีบคั้นทางด้านอารมณ์และความรู้สึก ระบบประสาทอัตโนมัติจะทำงานโดยตอบสนองต่ออารมณ์นั้น โดยการกระตุ้นให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงขึ้น กล้ามเนื้อตึงตัวมากขึ้น กรดในกระเพาะอาหารหลั่งโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ที่มีความเครียดมีอาการหน้ามืด คล้ายจะเป็นลม เจ็บหน้าอก ความดันโลหิตสูงขึ้น ปวดแสบท้องจากการที่ท้องว่างและมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ในสถานการณ์ที่ร่างกายถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่กดดัน เช่น อากาศร้อน ก็จะส่งผลให้เกิดอารมณ์เครียด หงุดหงิด ไม่พึงพอใจได้ด้วยเช่นกัน 

โดยสรุป ความเครียดจึงเกิดจากการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายในหรือภายนอกที่ทำให้บุคคลเกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น โดยการตอบสนองมีระดับที่แตกต่างกันตามระดับความรุนแรงของสิ่งกระตุ้น เช่น เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ หลอดเลือดขยาย ทำให้เรามีอาการปวดศีรษะและหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมได้

5 วิธีการจัดการความเครียดสำหรับคนทำงานออฟฟิศ

เมื่อเรารู้จักกลไกความเครียดแล้ว การจัดการความเครียดที่เกิดขึ้นทั้งที่เกิดกับอารมณ์ จิตใจและ ร่างกายสามารถจัดการได้ ด้วยการลดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดความเครียดนั้นๆ ด้วย 5 วิธีง่ายๆ ดังนี้

1 การอยู่ในที่อากาศเย็นและอากาศถ่ายเทสะดวกในช่วงที่มีอารมณ์เครียด 

โดยเฉพาะอากาศเย็นจัดๆ จะช่วยลดแรงกระตุ้นจากความเครียด เนื่องจากในช่วงที่เราเครียด หลอดเลือดจะขยาย แรงดันโลหิตจะสูงขึ้น ทำให้เรามีอาการปวดศีรษะและปวดกล้ามเนื้อได้ การอยู่ที่อากาศเย็นหลอดเลือดจะหดตัว แรงดันโลหิตจะลดลง กล้ามเนื้อจะผ่อนคลายขึ้นลดความเครียดได้

2 การดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หวานเพื่อเติมน้ำตาลกลูโคสให้กับร่างกาย จะช่วยลดอาการเครียดลงได้

เนื่องจากในช่วงที่เราเครียดร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น บางท่านจึงรู้สึกหิว แต่ขอแนะนำว่า หาเครื่องดื่มเย็นๆ ชื่นใจดื่มแทนการกินอาหารตอนเครียดจะดีกว่า เพราะเมื่อน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด  ร่างกายจะมีความเครียดลดลงและผ่อนคลายมากขึ้น

3 การประคบเย็นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่มีความตึงเครียด เช่น ศีรษะ ขมับทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อไหล่และหลัง

วิธีการนี้หลายท่านอาจยังไม่เคยทดลองใช้ แต่ขอรับรองเลยว่า ท่านที่มีอาการปวดศีรษะจากความเครียดรุนแรง ใช้แล้วได้ผลแน่นอน เพราะในภาวะที่ร่างกายมีความเครียด เส้นเลือดและหลอดเลือดที่ศีรษะ ขมับจะขยายและคลายตัว แต่เส้นเลือดในสมองหดรัดตัวทำให้แรงดันในสมองจะเพิ่มขึ้นทำให้เรามีอาการปวดศีรษะ เมื่อเราประคบเย็นที่ศีรษะหรือกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดด้วยความเย็น เช่น ต้นคอ บ่าไหล อาการปวดจะลดลง เนื่องจากความเย็นที่หน้าผาก ขมับ หรือ ท้ายทอยจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัวและคลายความเครียดลงได้

4 การนวดหรือประคบอุ่นเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

วิธีการนี้เหมาะสำหรับคนที่มีอาการเครียดเรื้อรัง จนกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายตึงตัว การนวดหรือกดจุดจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อที่เกิดจากความเครียดได้ นอกจากนี้ การนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดการความเครียดและลดอาการปวดศีรษะจากไมเกรนง่ายๆ เช่น การใช้น้ำมันหอมระเหย 1-2 หยดนวดเบาๆ ที่ขมับและต้นคอจะช่วยให้ลดอาการศีรษะและความเครียดได้

5 การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่มีผลต่อความเครียด

อาหารที่ช่วยในการบำรุงสมองผ่อนคลายความเครียดนั้น จะต้องรับประทานอย่างสม่ำเสมอและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่ห้ามขาด โดยเฉพาะคนที่เป็นไมเกรน ร่างกายจะมีข้อจำกัดในการดูดซึมแมกนีเซียมได้ไม่ดี การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม เช่น ผักใบเขียวทุกชนิด ฟักทอง ถั่วและธัญพืชจะช่วยลดอาการปวดศีรษะจากไมเกรนได้

และนี่คือ 5 วิธีลดความเครียดสำหรับคนทำงานออฟฟิศ ในเมื่อทราบเทคนิคการจัดการความเครียดกันแล้ว ก็อย่าลืมทดลองปฏิบัติกันเพื่อป้องกันอันตรายจากภาวะเครียดสะสมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพต่อไปค่ะ

About the author

Leave a Reply